หนังสือ: No Boundary: Eastern and Western approaches to personal growth. Ken Wilber (1979, 2001). Shambhala Publications. แปลไทย: ไร้พรมแดน. ปลายอ้อ วงศ์สุชาต (2558). สำนักพิมพ์ เดียร์ เดียร์
รีวิว: มัสลิน ศรีตัญญู
เหมือนโลกจะเต็มไปด้วยความขัดแย้ง สงคราม และคู่ตรงข้าม เราเคยชินกับสิ่งเหล่านี้จนเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทั้งการตัดสินใจเลือกว่าจะกินอะไร จะเป็นคนแบบไหน ประกอบอาชีพอะไร นับถือศาสนาอะไร ไปจนถึงการเลือกอุดการณ์การเมือง เราล้วนวุ่นวายกับการ “เลือกสิ่งหนึ่ง” และ “ปัดอีกสิ่งทิ้งไป” เสมอ เราขีดเส้นแบ่ง “เขา” กับ “เรา” สิ่งที่ “ใช่” และ “ไม่ใช่” ให้ทุกสิ่งที่รู้จัก การแบ่งแยกเหล่านี้สร้างความขัดแย้งในใจเราเองไปจนถึงสงครามระหว่างประเทศ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะหลุดพ้นวังวนของความขัดแย้งที่เป็นเหมือนบาปติดตัวมาแต่เกิดนี้
No Boundary ของเคน วิลเบอร์ เป็นหนังสือที่เนื้อหาเข้มข้นแต่อ่านเข้าใจง่ายลำดับต้นๆ และเป็นพื้นฐานให้กับหนังสือจำนวนมากเกี่ยวกับทฤษฎีบูรณาการ (Integral Theory) ที่เขาเขียนตามมาหลังจากนั้น เรื่องราวในหนังสือของวิลเบอร์น่าทึ่ง แต่ก็ท้าทายสำหรับนักแปล เพราะเต็มไปด้วยความหมายและศัพท์แสงใหม่ๆจากการตกผลึกของศาสตร์ต่างๆจำนวนมากด้วยตัวเขาเอง ตอนนี้จึงมีงานแปลงานของวิลเบอร์เป็นภาษาไทยออกมาเพียงเล่มเดียว
วิลเบอร์พาเราไปสำรวจภาวะความจริงที่ไร้พรมแดน และความจริงของจิตสำนึกที่เรียกว่า “จิตหนึ่งเดียว” (Unity Consciousness) และอุปสรรคขวางกั้น หรือ “เส้นเขตแดน” ที่เกิดขึ้นในระดับต่างๆของชีวิต ซึ่งทำให้เราไม่สามารถสัมผัสความจริงแท้สูงสุดของจิต แต่หากขยายเขตแดนสมมตินี้ออก เราก็จะสามารถสัมผัสกับตัวตนที่แท้จริงหรือสภาวะ “ไร้พรมแดน” ได้
จิตเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อตัดขาดความเป็นหนึ่งเดียวออกจากกัน
ความจริงแท้หรือภาวะจิตสำนึกของความเป็นหนึ่งเดียวนั้นไร้พรมแดน นั่นหมายถึง
ความเป็นเอกภาพของสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม ความไม่มีคู่ หรือความเป็นอิสระจากความเป็นคู่
สิ่งต่างๆไม่มีการแบ่งแยก ดั่งยอดคลื่นและท้องคลื่นในมหาสมุทร ไม่มีผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ มีแต่ประสบการณ์ที่รับรู้ได้ในปัจจุบันขณะ ผู้กระทำและผู้ถูกกระทำผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ความไร้กาลเวลา ไม่มีอดีต อนาคต มีแต่ปัจจุบันขณะเป็นนิรันดร์ แม้เราอาจมีความทรงจำของอดีตหรือคาดหวังถึงอนาคต แต่เมื่อไหร่ที่เรารู้ว่าทั้งความทรงจำและความคาดหวังล้วนเป็นประสบการณ์ของปัจจุบัน นั่นคืการทลายเขตแดนของมายาที่หลอกลวงเราว่ากาลเวลามีจริง
แม้ความจริงนั้นไร้พรมแดน แต่มนุษย์ได้สร้างโลกแห่งเขตแดนแบ่งสิ่งต่างๆออกจากกัน ตั้งแต่การตั้งชื่อให้ทุกสิ่ง มีกลางวันและกลางคืน มีมืดและสว่าง มีร้อนและหนาว มีดีและชั่ว สร้างเขตแดนขนาดใหญ่ขึ้นอย่างการใช้ตัวเลขและการคำนวณเพื่อวัดประเมินสิ่งต่างๆ (อภิเขตแดน) และเมื่อฉลาดขึ้นก็สามารถคิดตัวแปรในสูตรพีชคณิต ทำให้สามารถค้นพบกฎและทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มากมาย (อภิมหาเขตแดน) มนุษย์จึงครอบครองความรู้และมีอำนาจควบคุมธรรมชาติ และแยกตัวเองออกจากธรรมชาติ
และทุกครั้งที่เส้นแบ่งเขตแดนถูกขีดขึ้น จะมีความสงครามและความขัดแย้งเกิดขึ้นเสมอ เพราะแต่ละฝ่ายจะยึดสิ่งที่ตนสมมติขึ้นเป็นความจริงสูงสุด
สิ่งที่น่าทึ่งและเป็นลักษณะเฉพาะในงานของวิลเบอร์ คือการที่เขาเห็นสิ่งต่างๆทั้งที่เป็นภาพรวมและเป็นองค์ประกอบย่อย ทั้งแนวราบ (ทำให้เห็นความเชื่อมโยง) และแนวดิ่ง (ทำให้เห็นวิวัฒนาการ) แบบเป็นสเปกตรัมหรือเฉดต่างๆที่เลื่อนไหลได้ เขาชี้ให้เห็นเส้นเขตแดนที่ถูกขีดขึ้นมาในระดับต่างๆ ตั้งแต่เส้นเขตแดนที่แบ่งแยกโลกภายในจิตใจของเราเอง เส้นเขตแดนที่ตัดขาดกายและจิตออกจากกัน ที่ตัดขาดตัวเราและสิ่งแวดล้อม จนถึงตัดขาดระหว่างการรับรู้ความจริงที่ไร้พรมแดนกับการรับรู้แบบเป็นส่วนๆ
จากหนังสือไร้พรมแดน
สเปกตรัมของการรับรู้โลก
เส้นเขตแดนแรกสุดเกิดขึ้นเพื่อแยกขาด “ตัวฉัน” ออกจากสิ่งอื่นที่ “ไม่ใช่ฉัน” เป็นเขตแดนระหว่างตัวเราและสิ่งแวดล้อม เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยก “จิตหนึ่งเดียว” ออกเป็น “จิตสำนึกของปัจเจก” เป็นผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ ผู้กระทำและสิ่งที่ถูกกระทำ เกิดภาวะความเป็นคู่ตรงข้าม และทำให้เกิดการแบ่งแยกในระดับอื่นๆตามมาเป็นทอดๆ เกิดความเป็นตัวตนของฉัน ยึดติดในร่างกายและจิตใจของฉัน กลัวความตาย และสร้างเวลาขึ้นมาเพื่อบรรเทาความความหวาดกลัวนั้น
เมื่อความจริงที่เป็นหนึ่งเดียวถูกแบ่งแยกออก เราจะรับรู้ว่าตัวเองคือ “ร่างกายและจิตใจนี้” ที่วิลเบอร์เรียกว่าการรับรู้ระดับ “เซ็นทอร์” สัตว์ครึ่งคนครึ่งม้าในตำนานที่สื่อถึงการหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของร่างกายและจิตใจ ในการรับรู้ระดับนี้ เราตัดขาดจากภายนอก และรับรู้กายใจทั้งหมดของตน
แล้วเส้นเขตแดนใหม่ก็ถูดขีดขึ้นในการรับรู้ของเซ็นทอร์ การรับรู้ถึงกายใจแบบองค์รวมถูกบีบให้แคบลงมาเหลือการเลือกรับรู้เพียงบางสิ่งในตัวเอง เป็นภาพลักษณ์ทางใจเราเลือกบอกว่าตัวเองเป็น เป็นการรับรู้ระดับ “อัตตา” ที่เราพอใจ และเชื่อว่าน่าจะยั่งยืนกว่าความไม่จีรังของกายเนื้อ และแล้วความเชื่อมโยงที่เป็นจริงระหว่างร่างกายและจิตใจก็พังทลาย
แต่แล้วการรับรู้ความเป็นตัวเองก็ถูกแบ่งแยกอีกครั้ง เมื่อความปรารถนาบางอย่างของเราไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม เราจึงปฏิเสธการมีอยู่ของมัน การปฏิเสธไม่ได้ทำให้สิ่งนั้นหายไป แต่เป็นการผลักออกไปอยู่นอกความเป็นตัวตนของเรา หรือรับรู้ว่ามันเป็นของคนอื่น เช่น เมื่อเราโกรธจนอยากทำร้ายใครบางคน แต่รับไม่ได้ว่าตัวเองอยากทำแบบนั้น เมื่อเราปฏิเสธว่า “ฉันโกรธคนทั้งโลก” สิ่งที่รับรู้จะกลายเป็น “คนทั้งโลกโกรธฉัน” วิลเบอร์เรียกการรับรู้ระดับนี้ว่า “การแสดงบทบาท” และเก็บกดกีดกันสิ่งที่ไม่ถูกยอมรับให้กลายเป็นเงามืดที่เราไม่เห็นในตัวเอง แต่ไปเห็นในคนอื่น
จะเห็นได้ว่า ยิ่งความจริงถูกแบ่งแยกย่อยลงไปตามระดับต่างๆมากเท่าไหร่ ความเป็น “ฉัน” ก็ยิ่งหดแคบเข้า และสิ่งที่ “ไม่ใช่ฉัน” ก็ยิ่งขยายใหญ่โต ส่งผลให้เราเผชิญความทุกข์และความอึดอัดคับข้องใจ แต่สัญญาณที่ดีของความทุกข์ก็คือ ทำให้เรารู้ว่าเรายังมีพื้นที่ที่สามารถขยายพรมแดนการรับรู้ที่เป็นจริงออกไปได้กว้างขึ้นและกว้างขิ้น ความทุกข์จึงเป็นประตูด่านแรกที่เปิดสู่ความจริงว่า เส้นเขตแดนทั้งหมดล้วนเป็นมายา
จากหนังสือไร้พรมแดน
จิตใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความทุกข์ได้รับการเยียวยา
วิลเบอร์ชี้ให้เห็นว่า เราต้องเข้าใจการจัดการความทุกข์ให้ถูกต้อง จึงจะข้ามพ้นทุกข์ได้ หากไม่เข้าใจก็จะหลงทางอยู่ในวังวนความทุกข์
แล้วเราจะเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างไร
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน มนุษยชาติพากันคิดค้นความรู้ทางจิตวิญญาณอันหลากหลายเพื่อความพ้นทุกข์ แต่ยิ่งศึกษามากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนขัดแย้งกันเอง บ้างบอกให้เชื่อมโยงกับพระเจ้า บ้างก็ให้เชื่อมโยงกับจิตไร้สำนึก บ้างให้เชื่อมโยงกายและจิตเข้าด้วยกัน หรือบอกกลับกันว่าให้ข้ามพ้นร่างกายไป ทำให้เราออกอาการยืนงงในดงศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ ไม่รู้จะเชื่อแนวทางไหนดี
ประเด็นสำคัญที่ต้องเข้าใจคือ ความรู้เหล่านี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่พูดถึงจิตรับรู้คนละระดับ หากเราเข้าใจว่ามนุษย์มีระดับการรับรู้ที่แตกต่างหลากหลาย เราจะยอมรับว่ามีวิธีมากมายที่มุ่งเยียวยารักษาจิตแต่ละระดับ และถ้าเราพอรู้ตัวว่ากำลังเผชิญความทุกข์ระดับใด เราจะเลือกแนวทางจัดการความทุกข์ได้เหมาะสม
ระดับการรับรู้ที่แคบที่สุดคือ “การรับรู้การแสดงบทบาท” เราจะปฏิเสธความโน้มเอียงในตัวเอง เช่น ความโกรธ ความหยิ่ง ความก้าวร้าว ความสุข ความกล้าหาญ เป็นต้น และสะท้อนสิ่งเหล่านั้นออกไปยังสิ่งอื่น ยิ่งปฏิเสธหรือต่อต้านสิ่งที่ไม่ชอบในตัวเอง ก็จะยิ่งเกลียดชังโลกภายนอกอย่างรุนแรงมากขึ้น จนเกิดการล่าแม่มด การฆ่าล้างเผาพันธุ์ยิวของนาซี การเหยียดเพศ เป็นต้น อย่าลืมว่าสิ่งที่เราผลักออกด้วยความหงุดหงิด เกลียด กลัว เบื่อหน่าย วิตกกังวล หรือสิ่งที่ดึงดูดและครอบงำเราได้ ล้วนเป็นเงาสะท้อนที่เราไม่รับว่ามีในตัวเองทั้งสิ้น
อย่าต่อต้านหรือหลีกเลี่ยงความอึดอัดคับข้องเมื่อเจอสิ่งที่ไม่พอใจในตัวเอง และปล่อยตัวเองให้เผชิญและรับรู้ความรู้สึกเหล่านั้นตรงๆ บางครั้งเพียงเปิดพื้นที่ให้เงาได้ปรากฏ ก็เพียงพอที่จะทำให้ความทุกข์เบาบางลงได้ หากความทุกข์ยังอยู่ ให้ลองรับรู้อาการผิดปกติต่างๆที่เกิดขึ้น (เงา) ตามความหมายจริงของมัน เช่น รู้สึกกดดันหมายถึงมีแรงผลัก เศร้าหมายถึงโกรธ รู้สึกถูกบังคับหมายถึงอยากทำ เป็นต้น
วิธีง่ายที่สุดในการรับรู้เงา ทำได้โดยสังเกตความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการที่เกิดขึ้นขณะนั้น และมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่อยู่ตรงข้าม หรือมองมุมกลับ โดยไม่ต้องพยายามเชื่อหรือทำตาม ทำเช่นนี้บ่อยๆ เงาที่เคยซ่อนอยู่ในความมืดจะค่อยๆสว่างขึ้นสู่ “การรับรู้ความเป็นตัวเอง” สงครามและการแบ่งแยกเริ่มยุติ เราหลอมรวมเข้ากับส่วนที่เคยไม่ใช่ตัวเรา และขยายเขตแดนการรับรู้ออกไปไกลกว่าเดิม
เป้าหมายต่อไปคือการขยายจิตสู่ระดับ “การรับรู้แบบเซ็นทอร์” เพื่อเยียวยาให้เกิดการเชื่อมโยงกายใจอย่างเป็นองค์รวม บางคนคิดว่าตนควบคุมร่างกายไม่ได้ และกายเป็นบ่อเกิดของความทุกข์ ความเจ็บปวด และเสื่อมสลายไม่เป็นอมตะ ดังนั้นจึงถอนความรับรู้ออกจากร่างกาย หรือทำให้ด้านชาเพื่อไม่ต้องรับรู้ความทุกข์อีกต่อไป ซึ่งเท่ากับตัดขาดความสุขไปด้วย การเป็นเซ็นทอร์คือการยอมรับส่วนที่ควบคุมไม่ได้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเรา เราไม่จำเป็นต้องควบคุมบงการทุกอย่าง ทั้งหมดล้วนเป็นธรรมชาติของกายใจนี้
วิธีเชื่อมโยงจิตกับกายอย่างง่ายๆคือ สำรวจร่างกายทีละส่วนอย่างที่มันเป็นไม่ว่าเป็นบวกหรือลบ หายใจและสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น ไม่ต้องพยายามผ่อนคลาย เพียงแค่รับรู้ หรือลองฝึกหายใจแบบโยคะ เมื่อรับรู้ร่างกาย ก็จะรู้สึกถึงส่วนที่พลังงานถูกปิดกั้น ไหลเวียนไม่สะดวก อาจเป็นความเครียดเกร็ง ความปวด หรืออาการด้านชา ซึ่งล้วนเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่ถูกเก็บกดหรือปิดกั้นอยู่ในร่างกาย เมื่อรับรู้จุดที่ถูกปิดกั้นแล้ว หากมีอารมณ์ใดผุดขึ้นมาก็ปลดปล่อยมันออกไป เช่น หากเป็นความโกรธ ก็สามารถตะโกน กรีดร้อง หรือหาที่ชกต่อยที่ปลอดภัย ถ้าเป็นความเศร้าก็ร้องไห้ออกมา เป็นต้น อีกวิธีหนึ่งคือการตั้งใจเกร็งกล้ามเนื้อส่วนที่แข็งตึง เพื่อสลายจุดตันที่เกิดโดยไม่รู้ตัว และช่วยปลดปล่อยอารมณ์ลบได้ดี
เขตแดนของจิตสามารถขยายต่อสู่ระดับ “การรับรู้แบบข้ามพ้นตัวตน” ทำให้เข้าใจแบบแผนสากลบางอย่างที่มนุษยชาติมีร่วมกัน ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงเขตแดนของร่างกาย เช่น คาร์ล ยุง พบแบบแผนของจิตไร้สำนึกร่วมในตำนานทั่วโลกที่ยังอยู่ในตัวตนระดับลึกของเรา การเยียวยาและขยายพรมแดนการรับรู้ระดับนี้ ทำให้เกิดสติ สามารถใช้ประโยชน์จากพลังของจิตไร้สำนึก และไม่ถูกควบคุมบงการโดยไม่รู้ตัวอีกต่อไป เราจะมองโลกในสายตาของจิตวิญญาณแห่งมนุษยชาติและเลิกหมกมุ่นกับปัญหาส่วนตัว การฝึกการรับรู้เบบนี้มีหลายแนวทาง เช่น การบำบัดแบบยุงที่ใช้เทพปกรณัม หรือการภาวนาที่ฝึกแยกผู้รู้และสิ่งที่ถูกรู้ การสังเกตเฝ้าดูความทุกข์โดยไม่ตัดสิน เป็นต้น
การรับรู้ความจริงระดับสูงสุดคือ “การรับรู้จิตหนึ่งเดียว” คือการมีประสบการณ์ในปัจจุบันขณะ เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วจะไม่ต้องพยายามทำอะไรอีก เพราะความพยายามคือการกลับสู่สังเวียนการต่อต้าน ความเป็นคู่ตรงข้าม และกาลเวลา การปฏิบัติในระดับขั้นก่อนๆ คือการค่อยๆเลิกต่อต้านอย่างแยบยล เมื่อถึงระดับนี้แล้วอัตตาจะถูกต้อนจนมุม ไม่ว่าจะพยายามทำอะไรเพื่อเข้าถึงความจริงสูงสุด ก็เห็นการต่อต้านในทุกสภาวะ และยิ่งไกลห่างจากความจริงแท้ จึงยอมศิโรราบพ่ายแพ้อสิ้นเชิง เลิกการต่อต้าน และอยู่กับปัจจุบันขณะ และนั่นคือการเปิดประตูสู่สำนึกที่เป็นหนึ่งเดียว
No Boundary -- ไร้พรมแดน ทำให้เราเห็นภาพรวมทั้งหมดของการเดินทางภายในซึ่งเต็มไปด้วยเส้นทางอันหลากหลาย พาเราลัดเลาะสำรวจธรรมชาติของจิตสำนึกที่เป็นหนึ่งเดียว พร้อมวาดแผนที่การรับรู้ระดับต่างๆที่ช่วยให้เข้าใจชัดเจนว่า เราเดินทางมาถึงความตั้งใจที่จะขยายเส้นเขตแดนใด และจะทำได้อย่างไร หนังสือเล่มนี้จึงเป็นแผนที่ชั้นดีสำหรับการเดินทางสู่โลกภายใน เพื่อขยายเขตแดนแห่งตัวตนไปสู่ความไร้พรมแดน
Comments