top of page
สุขภาวะทางปัญญา banner.jpg

สุขภาวะทางปัญญา

"สุขภาวะทางปัญญา" คืออะไร

คุณเคยรู้สึกถึงความสุขสบายแบบเย็นกาย เย็นใจ บ้างไหม

เป็นความสุขที่มาจากจิตใจที่สงบ รู้สึกเป็นอิสระ สบายเนื้อตัว เปิดกว้าง เป็นมิตร

เชื่อมโยงตัวเองกับสิ่งอื่นๆ ได้ลึกซึ้งขึ้น

มาจากการสัมผัสได้ถึงความรัก ความเมตตากรุณา เสียสละ ให้อภัย อดทนอดกลั้นได้ต่อความแตกต่าง

มีความสัมพันธ์ที่เอื้ออาทร ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคนหรือสังคมที่ยุติธรรมและปลอดภัย

มาจากการมีโอกาสได้เรียนรู้และเจริญงอกงามตามธรรมชาติของชีวิต

และได้ใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและมีความหมาย

ความสุขแบบนี้เป็นความสุขที่ติดตรึงใจและยากจะลืมเลือน

นั่นล่ะ เค้าลางหรือรอยทางของสุขภาวะทางปัญญา หรือจะเรียกว่า สุขภาวะทางจิตวิญาณ

สุขภาพทางปัญญา Spiritual health หรือ Spiritual well-being ก็ได้

สุขภาวะทางปัญญา (Spiritual Health)

1 ใน 4 เสาหลักของสุขภาวะที่สมบูรณ์

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ประเวศ วะสี

พฤศจิกายน 2567

​​​​​สุขภาวะที่สมบูรณ์ (Complete Well-Being) หมายถึงสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางสังคม และทางจิตวิญญาณ (Spiritual หรือสุขภาวะทางปัญญา) สุขภาวะที่สมบูรณ์ของมนุษยชาติทั่วโลก (Complete Well-Being of Mankind Around the World) คืออุดมการณ์สูงสุดขององค์กรมนุษยธรรมทุกชนิดทั้งโลก

 

สุขภาวะ 3 ประเภทแรกเราพอเข้าใจและคุ้นเคยมานาน แต่คำว่า Spiritual หรือจิตวิญญาณ แม้ใช้กันมากในต่างประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยแล้วยังไม่เป็นที่เข้าใจกันโดยอัตโนมัติ การที่ระบบสุขภาพไทยเรียก Spiritual Health ว่าสุขภาวะทางปัญญา ก็มีผู้ไม่เข้าใจว่าเป็นมาอย่างไร จึงเรียกสุขภาวะทางจิตวิญญาณว่าสุขภาวะทางปัญญา

 

“สุขภาวะทางจิตวิญญาณ” หมายถึงการเข้าถึงความจริงเหนือเรื่องเนื้อหนังร่างกาย

 

ร่างกายของเรา ทางพุทธเรียกว่า โลก คำว่า เหนือโลก โลกุตระ หมายถึงความจริงที่เหนือตัวตน 

 

ตามปกติมนุษย์ยึดมั่นในตัวตนหรืออัตตา ซึ่งเป็นที่คับแคบและบีบคั้น เสมือนคนที่ถูกจำขังคุมขังอยู่ในคุก เป็นการติดคุกที่มองไม่เห็น (The Invisible Prison) เมื่อติดอยู่ในคุกย่อมเกิดความบีบคั้น เพราะเป็นที่แคบ เกิดความขัดแย้งระหว่างความจริงในระดับตัวตนและเหนือตัวตน ถ้ามีการปลดปล่อยออกจากคุกจะเกิดเสรีภาพ ทำให้เกิดความสุขที่ได้สัมผัสความจริงเหนือตัวตน ประดุจหลุดออกจากคุกที่มองไม่เห็น

 

การทำอะไรดีๆที่มีคุณค่าเหนือตัวตน จึงมีคนเรียกคุณค่านี้ว่า Spiritual ซึ่งคนไทยแปลกันว่า จิตวิญญาณ

 

ในเรื่องทั้งหลายมีความจริง 2 ชุด ชุดหนึ่งเป็นความจริงที่ปรุงแต่งขึ้นมาจากความมีตัวตน เรียกว่าสังขตธรรม สังขตะ แปลว่าปรุงแต่ง กับความจริงอีกชุดหนึ่งที่เหนือตัวตน ไม่ผ่านการปรุงแต่ง เป็นธรรมชาติที่มีอยู่เป็นนิรันดร์และไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่า อสังขตธรรม การทำอะไรดีๆที่มีคุณค่าเหนือตัวตน จึงเรียกกันว่า Spiritual เรียกว่า มิติทางจิตวิญญาณ

 

เพราะฉะนั้นการทำหน้าที่หรือการงานทุกชนิด ถ้าทำด้วยความโลภ โกรธ หลง ก็หมายถึงว่าติดอยู่ในตัวตน หรืออกุศลธรรม แต่ถ้าทำเพื่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่เอาอัตตาของตัวเองเป็นตัวตั้ง ก็ถือเป็นการเข้าถึงจิตวิญญาณหรือปัญญา ซึ่งเป็นความจริง ความดีงาม เหนือเรื่องโลกๆ

 

สุขภาวะทางปัญญาจึงเกิดได้ทุกหนทุกแห่งที่มีการกระทำ ไม่ว่าทำอะไรก็ตาม ถ้าทำแล้วมีจิตใจสัมผัสอยู่กับความจริง ความดี ความงาม ก็จะเกิดสุขภาวะทางปัญญา

 

เพราะฉะนั้นถ้าทำความเข้าใจว่า สุขภาวะทางปัญญาหมายถึงอะไร ทุกคนก็กำลังสร้างสุขภาวะทางปัญญาโดยไม่รู้ตัว 

 

ถ้าทุกคนรู้ว่าสุขภาวะทางปัญญาคืออะไร และเกิดขึ้นในตัวเราเองได้ขณะที่ทุกคนทำอะไรดีๆเพื่อเพื่อนมนุษย์ หรือเพื่อธรรมชาติ ความดีก็จะเกิดขึ้นเต็มแผ่นดิน

 

เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์แห่งความดีที่มีอยู่แล้วในหัวใจของคนทุกคน แต่ถูกฝังลึกด้วยเรื่องราวต่างๆ จนมนุษย์ลืมไปว่า ตนเองมีเมล็ดพันธุ์แห่งความดีหรือศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่จะทำอะไรดีๆเหนือตัวตน ถ้ามีการสำนึกรู้ว่า ในตัวเรามีเมล็ดพันธุ์แห่งความดี แล้วพยายามรดน้ำพรวนดิน เมล็ดพันธุ์นี้ก็จะงอกงามแผ่ไพศาลออกไป ทำให้โลกเกิดความร่มเย็น

 

เพราะฉะนั้นคำพูดที่ว่าร่มเย็นเป็นสุข หรือสังคมรมณีย์ คือสังคมที่เราอยู่เกิดความรมณีย์ ชื่นอกชื่นใจ จะเกิดขึ้นได้ด้วยการระลึกรู้ของมนุษย์ว่า มีความดีอยู่ในหัวใจของตนเอง และพยายามระลึกรู้ รดน้ำพรวนดินให้มันไม่แห้งตาย แต่งอกงาม มีชีวิต ปกคลุมโลกทั้งใบให้เป็นโลกแห่งความสุข

 

โลกแห่งความสุขรวมถึงสุขภาวะทุกมิติ เป็นสุขภาวะที่สมบูรณ์ของมนุษยชาติทั่วโลก และเป็นอุดมการณ์สูงสุดขององค์กรมนุษยธรรมทุกชนิดทั่วโลก

bottom of page